ปรึกษาทนายจิม
085-939-3392

Line ID: @tanaijim

บทความ

อ่านต่อ
การฟ้องเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของนิติบุคคลอาคารชุด

ช่วงนี้มีลูกความสอบถามเข้ามาเกี่ยวกับการฟ้องเพิกถอนมติที่ประชุมนิติบุคคลอาคารชุดกันหลายเคส

โดยปกติต้องฟ้องเพิกถอนมติที่ประชุม ภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่ลงมติ
แต่จะมีกรณียกเว้น เช่น การประชุมและการลงคะแนนตามมติที่ประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รายงานการประชุมใหญ่เป็นเท็จ ดังคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4469/2566

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้เข้าร่วมประชุมนิติบุคคลอาคารชุด ส. จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2559 และวันที่ 14 พฤษภาคม 2559 โดยเจ้าของร่วมจำนวนมากที่มอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าร่วมประชุมออกเสียงลงคะแนนแทนโดยใบมอบฉันทะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ผู้รับมอบฉันทะจึงไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงแทนได้ นอกจากนี้ลายมือชื่อเจ้าของร่วมที่เข้าร่วมประชุมทั้งสองครั้งตามบัญชีรายชื่อนั้นไม่ปรากฏรายละเอียดว่าเกี่ยวข้องกับการประชุมอย่างไรจึงไม่สามารถใช้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ การประชุมและการลงคะแนนตามมติที่ประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รายงานการประชุมใหญ่เป็นเท็จ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประชุมใหญ่ทั้งสองครั้ง และให้เพิกถอนรายงานการประชุมทั้งสองฉบับ ตามคำร้องดังกล่าวเท่ากับผู้ร้องกล่าวอ้างว่าการประชุมใหญ่สามัญดังกล่าวมีผู้มาประชุมซึ่งมีเสียงลงคะแนนรวมกันน้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนเสียงลงคะแนนทั้งหมดตามพ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 43 แต่พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ไม่มีบทบัญญัติถึงการดำเนินการเกี่ยวกับการประชุมที่ฝ่าฝืนนั้นแต่อย่างใด จึงต้องวินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 ซึ่งตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการกล่าวอ้างว่า การลงมติของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดมีเจ้าของร่วมร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุม ไม่มีลักษณะเป็นการประชุมกันจริง เช่นนี้ การประชุมดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการประชุมใหญ่สามัญของเจ้าของร่วมซึ่งเป็นเจ้าของห้องชุดในวันที่ 30 เมษายน 2559 และวันที่ 14 พฤษภาคม 2559 แต่ต้องถือว่าการประชุมใหญ่สามัญของนิติบุคคลอาคารชุดมิได้เกิดขึ้นจริงและไม่มีการประชุมกันจริง คงมีเพียงการลงมติซึ่งนำไปใช้อ้างต่อนายทะเบียนเพื่อใช้ในการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนมติดังกล่าวจึงมิใช่การร้องขอให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ที่ผิดระเบียบตาม ป.พ.พ. มาตรา 1195 ที่ต้องขอให้เพิกถอนภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติ เมื่อวินิจฉัยว่า กรณีไม่ใช่เป็นการยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมตามมาตรา 1195 การที่บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอฝ่ายเดียวเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 และมาตรา 188 (1) จะต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอในกรณีนั้น ๆ ได้ แต่กรณีตามคำร้องของผู้ร้องไม่มีกฎหมายใดสนับสนุนรับรองให้ผู้ร้องกระทำเช่นนั้นได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ หากผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ประการใด ผู้ร้องชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้โดยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7

อ่านต่อ
ทนายความยื่นคำร้องขอจดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่สิ้นสภาพนิติบุคคลคืนเข้าสู่ทะเบียน

ทางแก้เมื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน สิ้นสภาพนิติบุคคล

เมื่อ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ไม่ยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ติดต่อกันเกิน 3 ปี หรือไม่ได้ทำการค้าขายหรือประกอบการงานแล้ว 
นายทะเบียนจะมีหนังสือสอบถามว่ายังทำการค้าขายหรือประกอบการงานอยู่หรือไม่ หากไม่ได้รับคำตอบ นายทะเบียนจะขีดชื่อ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้นออกจากทะเบียน 

มีผลให้ : ห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้น สิ้นสภาพนิติบุคคลตั้งแต่เมื่อนายทะเบียนขีดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท ออกจากทะเบียน
แต่ !!! ความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้เป็นหุ้นส่วน กรรมการ ผู้จัดการ และผู้ถือหุ้น มีอยู่เท่าไร ก็ยังคงมีอยู่อย่างนั้นและบังคับได้เสมือนห้างหุ้นส่วน/บริษัท ยังไม่สิ้นสภาพนิติบุคคล (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1273/3)

แนวทางแก้ไข : เมื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน
ห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วน บริษัท ผู้ถือหุ้น หรือเจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วน/บริษัท สามารถยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลสั่งให้จดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท กลับคืนเข้าสู่ทะเบียนได้ (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1273/4) โดยพิจารณาเงื่อนไข ดังนี้
1. ผู้ที่มีสิทธิยื่นคำร้อง 
       - ห้างหุ้นส่วน
       - ผู้เป็นหุ้นส่วน
       - บริษัท
       - ผู้ถือหุ้น
       - เจ้าหนี้
2. ผู้ที่มีสิทธิตามข้อ 1. รู้สึกว่าต้องเสียหายโดยไม่เป็นธรรมจากการที่ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนนิติบุคคล
3. ต้องแสดงเหตุผลต่อศาลว่า
       - ขณะที่ขีดชื่อ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ออกจากทะเบียน ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่   หรือ
       - ศาลเห็นเป็นการยุติธรรมในการที่จะให้ห้างหุ้นส่วน/บริษัท กลับคืนสู่ทะเบียน เช่น กรณีที่ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ยังมีทรัพย์สินที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย หรือมีหนี้สินที่ยังค้างชำระแก่เจ้าหนี้อยู่ เป็นต้น

เมื่อศาลมีคำสั่งให้จดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท กลับคืนเข้าสู่ทะเบียนแล้ว
มีผลให้ : ถือเสมือนว่า ห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้นยังคงอยู่ตลอดมาเสมือนมิได้มีการขีดชื่อออกเลย
ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งหรือวางข้อกำหนดไว้ ตามที่เห็นเป็นยุติธรรม เพื่อให้ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท และบรรดาบุคคลอื่นๆ กลับคืนสู่ฐานะอันใกล้ที่สุดกับฐานะเดิมเสมือนห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้นไม่ได้ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนเลย

คำเตือน !!! แต่ทั้งนี้ ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้จดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท กลับคืนเข้าสู่ทะเบียน ต้องยื่นภายใน 10 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนขีดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้นออกจากทะเบียน

  

 

อ่านต่อ
หน้าที่ของทนายในการตรวจความถูกต้องของพินัยกรรม ก่อนยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย

เรื่องพินัยกรรม คดีขอเป็นผู้จัดการมรดกมีทั้งกรณีที่มีพินัยกรรมและไม่มีพินัยกรรม หากมีพินัยกรรมต้องตรวจสอบให้ดีว่าพินัยกรรมสมบูรณ์หรือไม่ พินัยกรรมข้อใดไม่สมบูรณ์หรือเป็นโมฆะทั้งฉบับ หลักๆ ก็จะพิจารณาในเรื่องเนื้อหาของพินัยกรรม พยานและคู่สมรสของผู้เขียนหรือพยาน หลักในการพิจารณา เช่น การลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของเจ้ามรดก ไม่ถือว่าลงชื่อในฐานะพยาน จึงมีสิทธิได้รับมรดก หรือ ผู้ที่มีชื่อรับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม นั่งในที่ทำพินัยกรรมโดยบอกว่าตนเองเป็นพยาน แต่ไม่ได้ลงชื่อเป็นพยานในพินัยกรรม พินัยกรรมไม่ตกเป็นโมฆะ จึงมีสิทธิรับทรัพย์ตามพินัยกรรม หรือพยานในพินัยกรรมเป็นนิติบุคคล แต่ตัวผู้แทนนิติบุคคลลงชื่อเป็นพยานก็ไม่ทำให้พินัยกรรมตกเป็นโมฆะเพราะไม่ถือว่าเป็นบุคคลเดียวกัน ส่วนความสามารถของผู้ทำพินัยกรรมนั้นให้พิจารณาแต่ในเวลาที่ทำพินัยกรรมเท่านั้น

กรณีคนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมตกเป็นโมฆะ กรณีคนวิกลจริต ทำพินัยกรรมขณะจริตวิกล พินัยกรรมจะเสียเปล่า หากคนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม สามารถทำได้ พินัยกรรมสมบูรณ์ไม่มีกฎหมายห้าม 

#รับยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก #รับยื่นคำคัดค้านคดีมรดก #ทนายคดีมรดก #รับดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดก