ปรึกษาทนายจิม
085-939-3392

Line ID: @tanaijim

คำพิพากษา

อ่านต่อ
ศาลพิพากษายกฟ้องในวันไต่สวนมูลฟ้อง โดยไม่ทำการไต่สวนมูลฟ้อง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทนายความโจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ได้หรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 228/2568
คำพิพากษาฏีกา ประจำพุทธศักราช 2568 ตอนที่ 4
จัดพิมพ์โดยเนติบัณฑิตยสภา

คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่นัดไต่สวนมูลฟ้อง หรือนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้อง หรือไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องก็ได้ เพราะเป็นดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็วและชอบด้วยกฎหมาย เมื่ือศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยชี้ขาดได้ และมีคำสั่งให้งดการไต่สวนมูลฟ้องแล้วนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ย่อมมีอำนาจกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย

โจทก์ฎีกาว่า
-คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ?
-การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องโดยอ้างว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ?

หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 และมาตรา 216 เมื่อโจทก์ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ และต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น หากโจทก์ไม่เห็นด้วยก็ควรจะใช้สิทธิยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 และมาตรา 221 แต่โจทก์กลับไม่ดำเนินการ

การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่หลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่เป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อ่านต่อ
ร่วมกันยักยอกโฉนดที่ดินแอบเอาไปเป็นประกันเงินกู้กับนายทุนนอกระบบ
คดีนี้เป็นทนายโจทก์ฟ้องคดีจำเลยทั้งสอง ข้อหาร่วมกันยักยอกโฉนดที่ดินแอบเอาไปเป็นประกันเงินกู้กับนายทุนนอกระบบ
 
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568
การที่จำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครองแล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วมโดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง
อ่านต่อ
ความผิดฐานซ่องโจรเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 5 ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
คดีนี้รับเป็นทนายความของจำเลยทั้งเจ็ดคน ศาลไต่สวนมูลฟ้องยกฟ้องความผิดฐานซ่องโจร
 
คดีซ่องโจร
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 กำหนดไว้ว่า
ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค ๒ นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16640/2555
ความผิดฐานซ่องโจรเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 5 ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ซึ่งบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม ความสงบสุข และความปลอดภัยของประชาชนโดยส่วนรวม มิใช่บัญญัติไว้เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงเป็นส่วนตัว ดังนั้น ความผิดฐานซ่องโจรถือว่าเป็นการกระทำต่อรัฐโดยตรง รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์ซึ่งเป็นราษฎรจึงไม่ใช่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดโดยตรง มิใช่ผู้เสียหายนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้องคดีได้เอง
อ่านต่อ
อัยการสูงสุดยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ เกิน 180 วัน ตามมาตรา93 วรรคหนึ่ง โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกา   พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561 มาตรา77 มาตรา93

     พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561 มาตรา93 วรรคหนึ่ง กำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติงานของอัยการสูงสุด รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จและฟ้องดำเนินคดีภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารพยานหลักฐานและความเห็นพร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์จากสำนักงาน ป.ป.ช. แม้อัยการสูงสุดโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามมาตรา 93 วรรคหนึ่ง แต่มาตรา 93 วรรคสอง บัญญัติให้นำความมาตรา 77 มาใช้บังคับกับการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยอนุโลม และมาตรา 77 วรรคท้าย บัญญัติยกเว้นให้ฟ้องคดีเกินกำหนดระยะเวลา 180 วัน แสดงว่ามิใช่เป็นบทบัญญัติอายุความฟ้องร้องหรือเงื่อนไขในการฟ้องร้องหรือการดำเนินคดี โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา149(เดิม) มาตรา157(เดิม) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561 มาตรา123/1 มาตรา123/2 และมาตรา173 ภายในอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561 มาตรา 93 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 77 วรรคท้าย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

    

อ่านต่อ
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ทุนทรัพย์คดีส่วนแพงในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ต้องขออนุญาตอุทธรณ์หรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 1351/2567   ป.วิ.อ.มาตรา 36, 46  ป.วิ.พ.มาตรา 247  พระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตา 17,25

   แม้คดีส่วนแพ่งของโจทก์มีทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง แต่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ทั้งเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อโจทก์อุทธรณ์คดีในส่วนอาญา ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งได้โดยโจทก์ไม่จำต้องขออนุญาตอุทธรณ์คดีส่วนแพ่ง

อ่านต่อ
การกระทำโดยบันดาลโทสะ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาฎีกาที่ 1109/2567   บันดาลโทสะ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 /ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตา 195

     แม้จำเลยมิได้ยกปัญหาเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้ในคำให้การที่ศาลบันทึกหรือที่จำเยยื่น ทำให้ศาลชั้นต้นมิได้ยกขึ้นวินิจฉัย เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลชั้นอุทธรณ์จำเลยย่อมมีสิทธิยกเรื่องการกระทำโดยบันดาลโทสะขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

      หลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายเตะหน้า จำเลยออกจากบ้านของผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์กลับไปที่บ้านของจำเลยที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 600 เมตร ซึ่งไม่ไกลและใช้ระยะเวลาในการเดินทางไปกลับไม่นานในขณะที่โทสะของจำเลยยังพลุ่งพล่านอยู่ไม่ขาดตอนจากเหตุการณ์ที่ถูกผู้เสียหายเตะหน้ากลับมาทำร้าย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72

อ่านต่อ
ศาลพิพากษาริบของกลางในคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17/2567

คำพิพากษาศาลอุทธณณ์ภาค 9 ที่วินิจฉัยในเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ดของกลางว่า เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรือเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง ให้ริบเสีย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้ริบ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) ประกอบมาตรา 215


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า...

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ด 8 เครื่อง ของกลาง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยในเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ด 8 เครื่อง ของกลางว่าเป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรือเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง จึงให้ริบเสีย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 9 จึงต้องมีคำพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าวด้วย แต่ปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) ประกอบมาตรา 215 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ดของกลาง

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) และ มาตรา 215

 

อ้างอิงจาก : คำพิพากษาฎีกา ประจำพุทธศักราช 2567 จัดพิมพ์โดยเนติบัณฑิตยสภา

อ่านต่อ
ฟ้องทำร้ายร่างกาย มาตรา 391 ศาลพิพากษา มาตรา 295 เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาฎีกาที่ 44/2567

ฟ้องโจทก์บรรยายองค์ประกอบความผิดว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันทำร้ายชกต่อยใบหน้า เป็นเหตุให้มีบาดแผลฟกช้ำบริเวณขมับซ้าย โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิดใจ แสดงว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตราแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่ปรับบทลงโทษตาม มาตรา 295 มาด้วย จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือที่ไม่ได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 391

 

อ้างอิงจาก : คำพิพากษาฎีกา ประจำพุทธศักราช 2567 จัดพิมพ์โดยเนติบัณฑิตยสภา