ผู้เช่าซื้อแสดงเจตนาส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนเพื่อเลิกสัญญา แต่ผู้ให้เช่าซื้อยังคงอิดเอื้อน สงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายตามสัญญา จะถือว่าผู้ให้เช่าซื้อสมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายหรือไม่ และผู้เช่าซื้อต้องรับผิดค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดราคาได้หรือไม่ ??
คำพิพากษาฎีกาที่ 6177/2564
แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังเป็นยุติว่า ภายหลังจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 9 เป็นเวลาเกินกว่าสามงวดติดต่อกัน โจทก์จะยังมิได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามกับบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย และจำเลยเป็นฝ่ายแสดงเจตนาส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์เพื่อเลิกสัญญา โดยสัญญาเช่าซื้อ มิได้มีข้อตกลงใดให้สิทธิจำเลยผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่เพียงพอถือเป็นหลักเกณฑ์หรือข้อสรุปว่า สัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว เพราะเหตุคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ความสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายของคู่สัญญายังต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของโจทก์ในเวลารับมอบรถยนต์คืนด้วยว่าในขณะนั้นโจทก์ยินยอมพร้อมใจเลิกสัญญากับจำเลยโดยปริยาย ไม่ยึดถือปฏิบัติตามข้อสัญญารวมทั้งไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาต่อจำเลยอีกแล้วหรือไม่ หากได้ความดังนั้นจึงจะถือว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญากับจำเลยโดยปริยาย แต่หากได้ความในทางตรงกันข้ามว่าโจทก์ยังคงอิดเอื้อนโต้แย้งในการส่งมอบรถยนต์คืนของจำเลย หรือโจทก์เพียงรับมอบรถยนต์ไว้ด้วยความจำใจอย่างเสียไม่ได้เพราะต้องการป้องกันมิให้เกิดความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำเลยยิ่งขึ้นไปอีก โดยโจทก์ยังคงสงวนสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาอันเป็นผลจากการประพฤติผิดสัญญาของจำเลยในเวลารับมอบรถยนต์ไว้ด้วยจะถือว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายกับจำเลยย่อมมิได้ ในเรื่องนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากหนังสือแสดงเจตนาส่งมอบทรัพย์สินคืน ย่อหน้าสุดท้ายที่มีข้อความระบุว่า “...ในนามของบริษัท ก. ได้รับทรัพย์สินที่เช่าซื้อดังกล่าวแล้วในวันนี้และขอสงวนสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงมีตามสัญญาเช่าซื้อไว้ด้วยจนกว่าจะได้รับการชำระหนี้จากผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันครบถ้วน” ข้อความที่ปรากฏในหนังสือดังกล่าวเป็นข้อชี้ถึงท่าทีของโจทก์ว่า ในเวลาที่โจทก์รับมอบรถยนต์คืนจากจำเลย โจทก์มิได้ยินยอมรับไว้โดยดุษณี โจทก์ยังอิดเอื้อน โต้แย้งและสงวนสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันพึงเกิดมีขึ้นจากการประพฤติผิดสัญญาและการเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนของจำเลยให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว การแสดงเจตนาสงวนสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ในเวลารับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยเช่นนี้นอกจากจะมิใช่การรับสภาพหนี้ของลูกหนี้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ แผนกคดีผู้บริโภค วินิจฉัยแล้ว ยังเป็นพฤติการณ์อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้สมัครใจเลิกสัญญากับจำเลยโดยปริยาย การที่โจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง โจทก์จึงชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถยนต์ตามข้อตกลงในสัญญาและตามสิทธิแห่งตนที่ได้อิดเอื้อนสงวนสิทธิไว้เช่นนั้นได้
อ้างอิง มาจาก https://www.supremecourt.or.th/