กรณีผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดในค่าขาดราคา
คำพิพากษาฎีกาที่ 1203/2565
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ขณะที่จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนโจทก์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 จำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 10 ประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2561 แล้ว โดยจำเลยชำระล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2561 และโจทก์รับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาข้อใดหรือมีหนี้ที่ต้องชำระตามสัญญาเช่าซื้อแก่โจทก์แต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจถือว่าจำเลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 12 ซึ่งจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดราคาตามสัญญาข้อ 13 ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย เนื่องจากการแสดงเจตนาคืนรถอันจะถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของผู้เช่าซื้อนั้น ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 12 ระบุว่า “ผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อในเวลาใด ๆ เสียก็ได้ โดยผู้เช่าซื้อจะต้องคืนและส่งมอบรถยนต์...และชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันที...” ดังนั้น ต้องปรากฏว่าจำเลยยังคงมีหนี้หรือเงินที่ต้องชำระตามสัญญาเช่าซื้ออยู่ในขณะที่ส่งมอบรถคืนโจทก์ แต่เมื่อจำเลยไม่มีเงินหรือหนี้ที่ต้องชำระตามสัญญาเช่าซื้อ กรณีดังกล่าวจึงถือว่าจำเลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้วด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นอันเลิกกันนับแต่วันที่จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ เมื่อสัญญาเลิกกันโดยจำเลยไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาและไม่มีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา 573 ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาค่าเช่าซื้อตามสัญญาจากจำเลย และแม้จำเลยได้ตกลงที่จะรับผิดในบรรดาหนี้ค้างชำระที่เกิดขึ้นจากการบอกเลิกสัญญาให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 13 ตามหนังสือแสดงเจตนาคืนรถของจำเลยเอกสารหมาย จ.8 แผ่นที่ 1 ดังที่โจทก์แก้ฎีกาก็ตาม แต่เอกสารดังกล่าวมิใช่สัญญาเช่าซื้อ เป็นเพียงหลักฐานการส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนและจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อรับรองต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อว่าหากโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายได้เงินไม่เพียงพอชำระหนี้คงค้างตามสัญญา จำเลยจะยอมรับผิดชดใช้ส่วนที่ขาดแก่โจทก์ ซึ่งเอกสารดังกล่าวหามีผลให้จำเลยต้องรับผิดค่าขาดราคาตามที่ระบุไว้ในเอกสารไม่ เพราะกรณีเป็นการรับสภาพหนี้สินว่ามีอยู่ทั้งที่ไม่มี เนื่องจากโจทก์และจำเลยไม่มีมูลหนี้ค่าขาดราคาต่อกันแล้ว จึงไม่มีผลบังคับแก่กันได้
อ้างอิงมาจาก : https://www.supremecourt.or.th/