ปรึกษาทนายจิม
085-939-3392

Line ID: @tanaijim

บทความ

อ่านต่อ
เจ้ามรดกมีทายาทเพียงคนเดียว แต่ทายาทเป็นคนไร้ความสามารถ จะจัดการมรดกอย่างไร ?

กรณีที่เจ้ามรดก หรือผู้ตาย มีทายาทเพียงคนเดียว แต่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกนั้นเป็นคนไร้ความสามารถ กรณีเช่นนี้ใครจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก ?

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 กำหนดไว้ว่า ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการ จะร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกก็ได้ ในกรณีดั่งต่อไปนี้

(1) เมื่อเจ้ามรดกตาย ทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม ได้สูญหายไป หรืออยู่นอกราชอาณาเขต หรือเป็นผู้เยาว์

(2) เมื่อผู้จัดการมรดกหรือทายาทไม่สามารถ หรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ หรือมีเหตุขัดข้องในการจัดการ หรือในการแบ่งปันมรดก

(3) เมื่อข้อกำหนดพินัยกรรมซึ่งตั้งผู้จัดการมรดกไว้ไม่มีผลบังคับได้ด้วยประการใดๆ

ซึ่งทายาทนัั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ได้กำหนดไว้ดังนี้

มาตรา 1629  ทายาทโดยธรรมมีหกลำดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๖๓๐ วรรค ๒ แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ
(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
(5) ปู่ ย่า ตา ยาย
(6) ลุง ป้า น้า อา

 

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635

หากผู้ตายมีทายาทเหลือเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นทายาทลำดับใดก็ตาม และทายาทคนนั้นเป็นคนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาล

ผู้อนุบาลของทายาท ซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถคนนั้น เป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกได้ ในฐานะที่เป็นผู้อนุบาลของทายาท ซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ มิใช่ยื่นคำร้องในนามของตนเอง

ทนายขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนขึ้น ดังนี้

นาย ก. เป็นเจ้ามรดก มีทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกเพียงคนเดียว คือ นาย ข. ซึ่งนาย ข. เป็นบุตรของนาย ก. เพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
แต่นาย ข. มีอาการป่วย ไม่มีสติสัมปะชัญญะในการทำนิติกรรมหรือใช้ชีวิตประจำวัน นาง ค. ภริยาจดทะเบียนสมรสของ นาย ข. จึงยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ นาย ข. เป็นคนไร้ความสามารถและอยู่ในความอนุบาลของ นาง ค. 
นาง ค. จึงยื่นคำร้องต่อศาลในฐานะที่ นาง ค. เป็นผู้อนุบาล นาย ข. ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ นาง ค. ในฐานะผู้อนุบาลของ นาย ข. ทายาท เป็นผู้จัดการมรดกของนาย ก. 

และทนายขอยกตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403/2538

นาย พ. คนไร้ความสามารถ โดย นาง ว. ผู้อนุบาล    เป็นผู้ร้อง

การที่ศาลมีคำสั่งตั้ง ย. และผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของ พ.คนไร้ความสามารถนั้นเมื่อต่อมา ย. ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายย่อมเป็นเหตุทำให้การเป็นผู้อนุบาลสิ้นสุดลง ย.ไม่เป็นผู้อนุบาลอีกต่อไปผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอในฐานะผู้อนุบาลของ พ. ได้โดยลำพังคนเดียว ผู้จัดการมรดกถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายย่อมขาดคุณสมบัติการเป็นผู้จัดการมรดกทำให้กองมรดกของผู้ตายไม่มีผู้จัดการ เมื่อการจัดการแบ่งมรดกยังมีข้อขัดข้อง ผู้ร้องในฐานะผู้อนุบาลของพ. คนไร้ความสามารถซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายจึงมีสิทธิขอให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้

(อ้างอิงจาก https://deka.supremecourt.or.th/printing/deka)

ดังนั้น  กรณีที่เจ้ามรดกหรือผู้ตาย มีทายาทเพียงคนเดียว แต่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกนั้นเป็นคนไร้ความสามารถ กรณีเช่นนี้ ผู้อนุบาลของทายาทซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ มีสิทธิยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกได้

 

สอบถามเพิ่มเติมได้โดย แอดไลน์ @tanaijim ได้เลยครับ หรือสแกนคิวอาร์โค้ดไลน์ทนายในเว็บไซต์หรือรูปภาพได้เลยครับ

อ่านต่อ
การฟ้องเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของนิติบุคคลอาคารชุด

ช่วงนี้มีลูกความสอบถามเข้ามาเกี่ยวกับการฟ้องเพิกถอนมติที่ประชุมนิติบุคคลอาคารชุดกันหลายเคส

โดยปกติต้องฟ้องเพิกถอนมติที่ประชุม ภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่ลงมติ
แต่จะมีกรณียกเว้น เช่น การประชุมและการลงคะแนนตามมติที่ประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รายงานการประชุมใหญ่เป็นเท็จ ดังคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4469/2566

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้เข้าร่วมประชุมนิติบุคคลอาคารชุด ส. จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2559 และวันที่ 14 พฤษภาคม 2559 โดยเจ้าของร่วมจำนวนมากที่มอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าร่วมประชุมออกเสียงลงคะแนนแทนโดยใบมอบฉันทะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ผู้รับมอบฉันทะจึงไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงแทนได้ นอกจากนี้ลายมือชื่อเจ้าของร่วมที่เข้าร่วมประชุมทั้งสองครั้งตามบัญชีรายชื่อนั้นไม่ปรากฏรายละเอียดว่าเกี่ยวข้องกับการประชุมอย่างไรจึงไม่สามารถใช้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ การประชุมและการลงคะแนนตามมติที่ประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รายงานการประชุมใหญ่เป็นเท็จ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประชุมใหญ่ทั้งสองครั้ง และให้เพิกถอนรายงานการประชุมทั้งสองฉบับ ตามคำร้องดังกล่าวเท่ากับผู้ร้องกล่าวอ้างว่าการประชุมใหญ่สามัญดังกล่าวมีผู้มาประชุมซึ่งมีเสียงลงคะแนนรวมกันน้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนเสียงลงคะแนนทั้งหมดตามพ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 43 แต่พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ไม่มีบทบัญญัติถึงการดำเนินการเกี่ยวกับการประชุมที่ฝ่าฝืนนั้นแต่อย่างใด จึงต้องวินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 ซึ่งตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการกล่าวอ้างว่า การลงมติของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดมีเจ้าของร่วมร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุม ไม่มีลักษณะเป็นการประชุมกันจริง เช่นนี้ การประชุมดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการประชุมใหญ่สามัญของเจ้าของร่วมซึ่งเป็นเจ้าของห้องชุดในวันที่ 30 เมษายน 2559 และวันที่ 14 พฤษภาคม 2559 แต่ต้องถือว่าการประชุมใหญ่สามัญของนิติบุคคลอาคารชุดมิได้เกิดขึ้นจริงและไม่มีการประชุมกันจริง คงมีเพียงการลงมติซึ่งนำไปใช้อ้างต่อนายทะเบียนเพื่อใช้ในการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนมติดังกล่าวจึงมิใช่การร้องขอให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ที่ผิดระเบียบตาม ป.พ.พ. มาตรา 1195 ที่ต้องขอให้เพิกถอนภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติ เมื่อวินิจฉัยว่า กรณีไม่ใช่เป็นการยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมตามมาตรา 1195 การที่บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอฝ่ายเดียวเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 และมาตรา 188 (1) จะต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอในกรณีนั้น ๆ ได้ แต่กรณีตามคำร้องของผู้ร้องไม่มีกฎหมายใดสนับสนุนรับรองให้ผู้ร้องกระทำเช่นนั้นได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ หากผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ประการใด ผู้ร้องชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้โดยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7

อ่านต่อ
ทนายความยื่นคำร้องขอจดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่สิ้นสภาพนิติบุคคลคืนเข้าสู่ทะเบียน

ทางแก้เมื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน สิ้นสภาพนิติบุคคล

เมื่อ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ไม่ยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ติดต่อกันเกิน 3 ปี หรือไม่ได้ทำการค้าขายหรือประกอบการงานแล้ว 
นายทะเบียนจะมีหนังสือสอบถามว่ายังทำการค้าขายหรือประกอบการงานอยู่หรือไม่ หากไม่ได้รับคำตอบ นายทะเบียนจะขีดชื่อ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้นออกจากทะเบียน 

มีผลให้ : ห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้น สิ้นสภาพนิติบุคคลตั้งแต่เมื่อนายทะเบียนขีดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท ออกจากทะเบียน
แต่ !!! ความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้เป็นหุ้นส่วน กรรมการ ผู้จัดการ และผู้ถือหุ้น มีอยู่เท่าไร ก็ยังคงมีอยู่อย่างนั้นและบังคับได้เสมือนห้างหุ้นส่วน/บริษัท ยังไม่สิ้นสภาพนิติบุคคล (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1273/3)

แนวทางแก้ไข : เมื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน
ห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วน บริษัท ผู้ถือหุ้น หรือเจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วน/บริษัท สามารถยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลสั่งให้จดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท กลับคืนเข้าสู่ทะเบียนได้ (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1273/4) โดยพิจารณาเงื่อนไข ดังนี้
1. ผู้ที่มีสิทธิยื่นคำร้อง 
       - ห้างหุ้นส่วน
       - ผู้เป็นหุ้นส่วน
       - บริษัท
       - ผู้ถือหุ้น
       - เจ้าหนี้
2. ผู้ที่มีสิทธิตามข้อ 1. รู้สึกว่าต้องเสียหายโดยไม่เป็นธรรมจากการที่ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนนิติบุคคล
3. ต้องแสดงเหตุผลต่อศาลว่า
       - ขณะที่ขีดชื่อ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ออกจากทะเบียน ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่   หรือ
       - ศาลเห็นเป็นการยุติธรรมในการที่จะให้ห้างหุ้นส่วน/บริษัท กลับคืนสู่ทะเบียน เช่น กรณีที่ห้างหุ้นส่วน/บริษัท ยังมีทรัพย์สินที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย หรือมีหนี้สินที่ยังค้างชำระแก่เจ้าหนี้อยู่ เป็นต้น

เมื่อศาลมีคำสั่งให้จดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท กลับคืนเข้าสู่ทะเบียนแล้ว
มีผลให้ : ถือเสมือนว่า ห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้นยังคงอยู่ตลอดมาเสมือนมิได้มีการขีดชื่อออกเลย
ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งหรือวางข้อกำหนดไว้ ตามที่เห็นเป็นยุติธรรม เพื่อให้ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท และบรรดาบุคคลอื่นๆ กลับคืนสู่ฐานะอันใกล้ที่สุดกับฐานะเดิมเสมือนห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้นไม่ได้ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนเลย

คำเตือน !!! แต่ทั้งนี้ ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้จดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท กลับคืนเข้าสู่ทะเบียน ต้องยื่นภายใน 10 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนขีดชื่อห้างหุ้นส่วน/บริษัท นั้นออกจากทะเบียน

  

 

อ่านต่อ
คดีมรดก เรื่องการรับมรดกแทนที่

กรณีทายาทที่มีสิทธิรับมรดกถึงแก่ความตายไปก่อนเจ้ามรดก (การรับมรดกแทนที่)

ารรับมรดกแทนที่กันเป็นกรณีที่ผู้เป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดก แต่ได้ตายก่อนเจ้ามรดก หรือถูกกำจัดก่อนเจ้ามรดกตาย

การพิจารณาว่าบุคคลใดมีสิทธิรับมรดกแทนที่ได้ สามารถพิจารณาได้ดังนี้

 

1. ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกแทนที่ได้

กรณีมีพินัยกรรม และผู้รับพินัยกรรมถึงแก่ความตาย แต่การรับมรดกแทนที่กันไม่มีในฐานะผู้รับพินัยกรรม จะมีได้เฉพาะทายาทโดยธรรมเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1642 บัญญัติว่า "การรับมรดกแทนที่กันนั้น ให้ใช้บังคับแต่ในระหว่างทายาทโดยธรรม"

 

กรณีไม่มีพินัยกรรม มีแต่ในฐานะทายาทโดยธรรม โดยมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) คือ ผู้สืบสันดาน พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ลุง ป้า น้า อา เท่านั้นที่มีสิทธฺรับมรดกแทนที่ได้ ส่วนทายาทโดยธรรมลำดับที่ (2) และ (5) คือ บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย รับมรดกแทนที่ไม่ได้ 

 

2. ลักษณะของการรับมรดกแทนที่

หากทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ยังมีชีวิตอยู่และมีสิทธิได้รับมรดก แต่ทายาทดังกล่าวได้ตายก่อนเจ้ามรดกหรือถูกกำจัดไม่ให้ได้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานของผู้นั้นมีสิทธิรับมรดกแทนที่ในส่วนมรดกของผู้นั้น
ถ้ามีผู้รับมรดกแทนที่หลายคนก็แบ่งส่วนคนละเท่าๆ กัน ถ้าผู้สืบสันดานคนใดตายไปเสียก่อนหรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานของผู้นั้นก็รับมรดกแทนที่ต่อไปอีกทำนองเดียวกันเรื่อยไปเช่นนี้จนหมดสาย

เฉพาะผู้สืบสันดานของทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ(6) เท่านั้นมีสิทธิรับมรดกแทนที่ ผู้บุพการีไม่มีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1643 บัญญัติว่า "สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่"

ถ้าทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกยังมีชีวิตอยู่ ผู้สืบสันดานของทายาทนั้นยังไม่มีสิทธิในการเป็นผู้รับมรดกแทนที่ จะอ้างสิทธิในฐานะเป็นผู้รับมรดกแทนที่ไม่ได้

การรับมรดกแทนที่กันนั้น รวมถึงการที่บุคคลนั้นตายโดยผลของกฎหมายด้วย คือ ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1640 บัญญัติว่า เมื่อบุคคลใดต้องถือว่าถึงแก่ความตายตามความในมาตรา 62 แห่งประมวลกฎหมาย นี้ให้มีการรับมรดกแทนที่กันได้

กรณีบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว และบุตรบุญธรรม คำว่าผู้สืบสันดานที่มีสิทธิรับมรดกตามที่ได้กล่าวมาตามมาตรา 1627 นั้น ได้แก่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว และบุตรบุญธรรม
แต่ในเรื่องการรับมรดกแทนที่นั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
1643 บัญญัติว่า "สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่" ซึ่งคำว่าผู้สืบสันดานโดยตรงนั้น หมายถึง ผู้สืบสันดานที่เป็นผู้สืบสายโลหิตที่แท้จริงของผู้นั้น

ส่วนบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) ที่ได้ตายก่อนเจ้ามรดกตายในกรณีอื่น เช่น บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานและถ้าได้ตายก่อนเจ้ามรดกตายและบุคคลนี้มีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วดังกล่าว สามารถรับมรดกแทนที่ได้ เพราะบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วถือว่าเป็น ผู้สืบสันดานของเจ้ามรดก ดังนั้น บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วตายก่อนเจ้ามรดกสามารถเข้ารับมรดกแทนที่ได้

แต่ถ้าบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วถือว่าเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1 ตายก่อนเจ้ามรดกและบุคคลนี้ได้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม และต่อมาเมื่อเจ้ามรดกตายบุตรบุญธรรมถือว่าเป็นผู้สืบสันดานก็จริงแต่ไม่ใช่ผู้สืบสันดานโดยตรงเข้ารับมรดกแทนที่ไม่ได้

ข้อสังเกต บุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานให้ผู้สืบสันดานรับมรดก เฉพาะส่วนของบุคคลผู้นั้นไป แต่ถ้าบุคคลนั้นตายหลังเจ้ามรดกจะมีการรับมรดกแทนที่ไม่ได้
ตัวอย่างเช่น มี ปู่ บิดา และบุตร ถ้าบิดาตายก่อนปู่ ต่อมาปู่ตาย บุตรมีสิทธิรับมรดกแทนที่บิดาในการสืบมรดกปู่ แต่ถ้าปู่ตายก่อน บุตรจะเข้ารับมรดกแทนที่ไม่ได้ เพราะมรดกของปู่จะตกแก่บิดา แต่ถ้าต่อมาบิดาตายมรดกจะตกแก่บุตรแต่ผู้เดียว

กรณีปู่และบิดาตายพร้อมกัน เช่น ปู่และบิดาเดินทางไปเครื่องบินลำเดียวกัน เครื่องบินตกตายหมดทั้งลำ กฎหมายถือว่าปู่และบิดาตายพร้อมกันตามมาตรา 17 มรดกส่วนของบิดาไม่มีปัญหาตกแก่บุตร แต่มรดกของปู่ ถ้าตีความตรงตัวตามลายลักษณ์อักษร บุตรจะรับมรดกแทนที่ไม่ได้ เพราะบิดาไม่ได้ตายก่อนปู่ แต่บิดาตายพร้อมปู่จะทำให้มรดกของปู่ไม่มีผู้รับมรดก มรดกของปู่จะตกทอดแก่แผ่นดินคงไม่ใช่เจตนารมณ์ของกฎหมาย
ดังนั้น จึงเห็นว่าไม่ว่าบิดาตายก่อนหรือตายหลังเจ้ามรดกคือปู่ มรดกของปู่ก็ตกแก่หลาน ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานนั่นเอง ฉะนั้น แม้ปู่และบิดาตายพร้อมกันมรดกก็ตกแก่หลานโดยการรับมรดกแทนที่กันได้

การรับมรดกแทนที่ต้องมีสภาพบุคคล การรับมรดกแทนที่กันผู้สืบสันดานโดยตรงนั้นจะต้องมีสิทธิบริบูรณ์ในการรับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1644 บัญญัติว่า "ผู้สืบสันดานจะรับมรดกแทนที่ได้ต่อเมื่อมีสิทธิบริบูรณ์ในการรับมรดก" หมายความว่า ต้องมีสภาพ บุคคลหรือมีความสามารถรับมรดกอยู่ในขณะเจ้ามรดกตาย หรือเป็นทารกในครรภ์มารดาในขณะเจ้ามรดกตายแล้วภายหลังเกิดมารอดอยู่ ดังนั้น หากยังอยู่ในครรภ์มารดาในเวลา ที่เจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานนั้นก็ไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่

ทรัพย์มรดกที่เจ้ามรดกได้มาหลังทายาทตายแล้ว สิทธิในการเป็นทายาทมีอยู่ตั้งแต่ก่อนเจ้ามรดกตาย แต่สิทธิในการรับมรดกเกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกตาย สิทธิในการเป็นทายาทดังกล่าวนี้รวมถึงสิทธิในการเป็นผู้รับมรดกแทนที่ด้วย และสิทธิในการเป็นทายาทหรือเป็นผู้รับมรดกแทนที่นี้เป็นสิทธิที่จะรับมรดกของเจ้ามรดกโดยทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะทรัพย์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ฉะนั้น แม้เจ้ามรดกจะได้ทรัพย์มรดกสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเมื่อทายาทตายแล้ว ผู้สืบสันดานของทายาทนั้นก็มีสิทธิรับมรดกแทนที่ในทรัพย์สิ่งนั้นได้

 

เอกสารอ้างอิง

รองศาสตราจารย์พรชัย สุนทรพันธุ์. (2549). คำอธิบายกฎหมายลักษณะมรดก(พิมพ์ครั้งที่ 3 ).กรุงเทพฯ:สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา