ปรึกษาทนายจิม
085-939-3392

Line ID: @tanaijim

บทความ

อ่านต่อ
โจทก์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ ต้องห้ามฎีกาหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 490/2567   อุทธรณ์ฎีกา ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง
     ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 5,000 บาท ให้รอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยไว้ แม้เป็นการแก้ไขมาก แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 40,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฏีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ฎีกาของโจทก์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
    

อ่านต่อ
บ่อยครั้งที่ทนายความทำหน้าที่ฟ้องคดีอาญา ข้อหายักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นรถยนต์ที่จำเลยแอบไปจำนำ

เอารถไปจำนำจอด แล้วผู้รับจำนำเอารถไปขาย สามารถดำเนินคดีได้หรือไม่ ??

จำเลยรับจำนำรถยนต์พิพาทจากป. จำเลยจึงมีเพียงสิทธิยึดถือครอบครองรถยนต์ไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน และมีสิทธิจะขายทรัพย์จำนำได้ต่อเมื่อบอกกล่าวบังคับจำนำ เมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวให้ ป. ชำระหนี้ จำเลยจึงไม่มีสิทธินำรถยนต์พิพาทไปขาย

การที่จำเลยยึดถือครอบครองรถยนต์พิพาทแทน ป. ผู้จำนำ แล้วนำรถยนต์พิพาทไปขายและไม่สามารถนำมาคืนให้แก่ ป. ผู้จำนำซึ่งได้ใช้สิทธิไถ่ถอนโดยนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่จำเลยแล้ว

การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังเอารถยนต์พิพาทไปเป็นของตนโดยทุจริต ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ป.

จำเลยจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามประมวลอาญา มาตรา 352

อ่านต่อ
หน้าที่ของทนายในการตรวจความถูกต้องของพินัยกรรม ก่อนยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย

เรื่องพินัยกรรม คดีขอเป็นผู้จัดการมรดกมีทั้งกรณีที่มีพินัยกรรมและไม่มีพินัยกรรม หากมีพินัยกรรมต้องตรวจสอบให้ดีว่าพินัยกรรมสมบูรณ์หรือไม่ พินัยกรรมข้อใดไม่สมบูรณ์หรือเป็นโมฆะทั้งฉบับ หลักๆ ก็จะพิจารณาในเรื่องเนื้อหาของพินัยกรรม พยานและคู่สมรสของผู้เขียนหรือพยาน หลักในการพิจารณา เช่น การลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของเจ้ามรดก ไม่ถือว่าลงชื่อในฐานะพยาน จึงมีสิทธิได้รับมรดก หรือ ผู้ที่มีชื่อรับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม นั่งในที่ทำพินัยกรรมโดยบอกว่าตนเองเป็นพยาน แต่ไม่ได้ลงชื่อเป็นพยานในพินัยกรรม พินัยกรรมไม่ตกเป็นโมฆะ จึงมีสิทธิรับทรัพย์ตามพินัยกรรม หรือพยานในพินัยกรรมเป็นนิติบุคคล แต่ตัวผู้แทนนิติบุคคลลงชื่อเป็นพยานก็ไม่ทำให้พินัยกรรมตกเป็นโมฆะเพราะไม่ถือว่าเป็นบุคคลเดียวกัน ส่วนความสามารถของผู้ทำพินัยกรรมนั้นให้พิจารณาแต่ในเวลาที่ทำพินัยกรรมเท่านั้น

กรณีคนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมตกเป็นโมฆะ กรณีคนวิกลจริต ทำพินัยกรรมขณะจริตวิกล พินัยกรรมจะเสียเปล่า หากคนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม สามารถทำได้ พินัยกรรมสมบูรณ์ไม่มีกฎหมายห้าม 

#รับยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก #รับยื่นคำคัดค้านคดีมรดก #ทนายคดีมรดก #รับดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดก

อ่านต่อ
คดีฟ้องเลิกการรับบัตรบุญธรรมนั้น ทนายความต้องมีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังต่อไปนี้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/33 คดีฟ้องเลิกการรับบุตรบุญธรรมนั้นเมื่อ

(๑)** ฝ่ายหนึ่งทำการชั่วร้ายไม่ว่าจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่

เป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเลิกได้

 

(๒) ฝ่ายหนึ่งหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือ บุพการีของอีกฝ่ายหนึ่งอันเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเลิกได้ ถ้าบุตรบุญธรรมกระทำการดังกล่าวต่อคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม ให้ผู้รับบุตรบุญธรรมฟ้องเลิกได้

 

๓)* ฝ่ายหนึ่งกระทำการประทุษร้ายอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีหรือ คู่สมรสของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจอย่าง ร้ายแรงและการกระทำนั้นเป็นความผิดที่มีโทษอาญา อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเลิกได้

 

(๔) ฝ่ายหนึ่งไม่อุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ฟ้องเลิกได้

 

(๕) ฝ่ายหนึ่งจงใจละทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่ง นั้นฟ้องเลิกได้

 

(๖) ฝ่ายหนึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเกินสามปี เว้นแต่ความผิดที่กระทำโดยประมาท อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องเลิกได้

 

(๗) ผู้รับบุตรบุญธรรมทำผิดหน้าที่บิดามารดา และการกระทำนั้นเป็นการละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕๖๔ มาตรา ๑๕๒๑ มาตรา ๑๕๒๓ มาตรา ๑๕๗๔ หรือมาตรา ๑๕๗๕ เป็นเหตุให้เกิด หรืออาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อบุตรบุญธรรม บุตรบุญธรรมฟ้องเลิกได้ 

 

(๘)* ผู้รับบุตรบุญธรรมผู้ใดถูกถอนอำนาจปกครองบางส่วนหรือทั้งหมดและเหตุที่ถูกถอนอำนาจปกครองนั้นมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ผู้นั้นไม่สมควรเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมต่อไป บุตรบุญธรรมฟ้องเลิกได้

 

(๙)** (ถูกยกเลิกทั้งหมด)

 

       

อ่านต่อ
คดีอาญาข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264

คดีปลอมแปลงเอกสาร เป็นคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ถึง มาตรา 269

      มาตรา 264 ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

      ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอกสารนั้นไปใช้กิจการที่อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสารต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

 

อ่านต่อ
ระบบวิธีพิจารณาคดีปกครอง ที่ทนายความต้องทราบ
ระบบไต่สวน ในคดีปกครอง เป็นอย่างไร ??
คดีปกครอง ใช้วิธีพิจารณาระบบไต่สวน หลังจากผู้ฟ้องคดี ฟ้องคดีต่อศาลแล้ว ศาลจะกำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีทำคำให้การ ต่อมาผู้ฟ้องคดีทำคำคัดค้านคำให้การ และผู้ถูกฟ้องคดีทำคำให้การเพิ่มเติม โดยศาลจะกำหนดระยะเวลาในการแสวงหาข้อเท็จจริง ทั้งศาลสามารถเรียกเอกสาร หรือพยานหลักฐานต่างๆ จากหน่วยงานทางปกครองได้ เพื่อให้ได้พยานหลักฐานที่จำเป็นและครบถ้วน เพื่อนำมาใช้ในการพิจารณาคดีต่อไป
สำหรับคดีปกครองที่ทนายได้รับมอบหมายคดีนี้ ศาลได้กำหนดวันสิ้นสุดแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว บรรดาเอกสารใดๆ ที่ยื่นภายหลังจากวันสิ้นสุดแสวงหาข้อเท็จจริง ศาลจะไม่รับไว้เป็นส่วนหนึ่งของสำนวนคดี หลังวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง ศาลจะทำการนั่งพิจารณาคดีต่อไป โดยจะแจ้งกำหนดวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน